วันเสาร์ที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

10 อันดับสุดยอดภารกิจของนาซา

10 อันดับสุดยอดภารกิจของนาซา



กล้อง โทรทรรศน์อวกาศเคปเลอร์ ซึ่งถูกส่งขึ้นสู่อวกาศเมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2009 อาจจะกลายเป็นตำนานที่ยิ่งใหญ่ขององค์การนาซาเช่นเดียวกับยานอพอลโล และกล้องโทรทรรศน์อวกาศฮับเบิล หากมันประสบความสำเร็จในการค้นพบดาวเคราะห์ขนาดเท่าโลกซึ่งโคจรรอบดาวฤกษ์ คล้ายดวงอาทิตย์ในโซนที่สิ่งมีชีวิตอยู่อาศัยได้

แน่นอนว่า กล้องโทรทรรศน์อวกาศเคปเลอร์จะต้องถูกจัดอันดับให้เป็นหนึ่งในสุดยอดภารกิจ ทางวิทยาศาสตร์ขององค์การนาซาในอนาคต ซึ่งปัจจุบันเว็บไซต์สเปซดอทคอมได้จัดอันดับไว้ 10 อันดับ มาดูกันว่าภารกิจเหล่านั้นเป็นปฏิบัติการของยานอวกาศลำใดบ้าง

10.ยานไพโอเนียร์ (Pioneer)

ยาน ไพโอเนียร์ 10 และ 11 ขึ้นสู่อวกาศในปี 1972 และ 1973 ตามลำดับ เป็นยานอวกาศสองลำแรกที่สำรวจดาวก๊าซยักษ์ของระบบสุริยะของเรา คือดาวพฤหัสบดีและดาวเสาร์ ยานไพโอเนียร์ 10 เดินทางผ่านวงแหวนดาวเคราะห์น้อยและบินผ่านดาวพฤหัสบดี มันสามารถถ่ายภาพ จุดแดงใหญ่ (Great Red Spot) พายุบนดาวพฤหัสบดีในระยะใกล้มาให้ชมกันอย่างชัดๆ

ส่วนยานไพโอเนียร์ 11 นั้นบินผ่านดาวพฤหัสบดีและเดินทางต่อไปยังดาวเสาร์ ที่นั่นมันค้นพบดวงจันทร์ขนาดเล็กของดาวเสาร์สองดวงและวงแหวนใหม่

ปัจจุบันยานทั้งสองลำหยุดส่งข้อมูลมายังโลกแล้ว และกำลังเดินทางออกนอกระบบสุริยะเช่นเดียวกับยานแฝดวอยเอเจอร์

9.ยานวอยเอเจอร์ (Voyager)

หลัง จากยานแฝดไพโอเนียร์บินผ่านดาวก๊าซยักษ์ได้ไม่นานนัก ยานอวกาศอีกสองลำก็เดินทางไปสำรวจดาวก๊าซยักษ์อย่างละเอียด นั่นคือยานวอยเอเจอร์ 1 และวอยเอเจอร์ 2 ยานทั้งสองลำได้ค้นพบสิ่งใหม่ๆ เกี่ยวกับดาวพฤหัสบดีและดาวเสาร์มากมาย เช่น พบวงแหวนของดาวพฤหัสบดี ภูเขาไฟบนดวงจันทร์ไอโอ บริวารของดาวพฤหัสบดี เป็นต้น


วอ ยเอเจอร์ยังเป็นยานลำแรกที่บินผ่านดาวยูเรนัสและเนปจูนอีกด้วย มันค้นพบดวงจันทร์ใหม่ของดาวยูเรนัสมากถึง 10 ดวง และพบว่าดาวเนปจูนมีน้ำหนักน้อยกว่าที่นักวิทยาศาสตร์เคยประมาณไว้

ปัจจุบันยานแฝดวอยเอเจอร์กำลังเดินทางออกนอกระบบสุริยะเพื่อสำรวจอวกาศระหว่างดวงดาว และขณะนี้มันกำลังสำรวจบริเวณขอบระบบสุริยะ

8.ยานดับเบิลยูแมพ (WMAP)

ยาน หรือดาวเทียมดับเบิลยูแมพ (Wilkinson Microwave Anisotropy Probe -WMAP) ชื่อไม่คุ้นหูนักแต่สร้างผลงานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดต่อการศึกษาจักรวาล นั่นคือการวัดอุณหภูมิของรังสีที่เหลืออยู่หลังการระเบิดบิ๊กแบง จากการทำแผนที่การกระเพื่อมของรังสีที่เรียกกันว่ารังสีฉากหลังของจักรวาลทำ ให้นักวิทยาศาสตร์เข้าใจธรรมชาติและจุดกำเนิดของจักรวาล

ข้อมูลจาก ยาน WMAP ยังทำให้นักวิทยาศาสตร์สามารถวัดอายุของจักรวาลได้เท่ากับ 13.7 พันล้านปี และยืนยันว่านอกจากสสารปกติแล้ว ส่วนประกอบของจักรวาลประมาณ 95% เป็นสสารมืดและพลังงานมืด

7.กล้องโทรทรรศน์อวกาศสปิตเซอร์ (Spitzer Space Telescope)

นี่ คือหนึ่งในกล้องโทรทรรศน์อวกาศที่ทำให้นักจักรวาลวิทยาและนักฟิสิกส์ดารา ศาสตร์เข้าใจจักรวาลมากขึ้นผ่านดวงตาอินฟราเรดของมัน ภาพถ่ายกาแล็กซี่ เนบิวลา และดาวฤกษ์จำนวนมากทำให้เกิดการค้นพบใหม่ๆ ทางวิทยาศาสตร์ ในปี 2005 กล้องอวกาศสปิตเซอร์กลายเป็นกล้องตัวแรกที่สามารถตรวจจับแสงของดาวเคราะห์ นอกระบบสุริยะได้

นักดาราศาสตร์หลายคนเชื่อว่า วันหนึ่งกล้องอวกาศสปิตเซอร์จะสามารถตรวจจับแสงจากดาวฤกษ์ดวงแรกๆ ที่กำเนิดขึ้นในจักรวาลได้



6.รถหุ่นยนต์สปิริตและอ๊อพพอร์จูนิตี้ (Spirit & Opportunity)

ภารกิจ ของรถหุ่นยนต์สปิริตและอ๊อพพอร์จูนิตี้ คือสำรวจพื้นผิวดาวอังคารเพื่อค้นหาร่องรอยของน้ำเป็นเวลา 90 วันหลังจากยานแม่นำมันลงบนพื้นผิวดาวอังคารในเดือน มกราคม ปี 2004 ทว่า รถหุ่นยนต์ทั้งสองคันปฏิบัติภารกิจบนดาวอังคารได้ยาวนานกว่า 5 ปี โดยปัจจุบันก็ยังคงทำการสำรวจอยู่ ผลงานที่ยอดเยี่ยมคือการค้นพบหลักฐานร่องรอยน้ำบนพื้นผิวดาวอังคารในอดีต

5.ยานแคสสินีและฮอยเกนส์ (Cassini-Huygens)

โครง การแคสสินี-ฮอยเกนส์ เป็นความร่วมมือระหว่างองค์การนาซากับองค์การอวกาศยุโรป ยานแม่แคสสินีและยานลูกฮอยเกนส์ออกเดินทางจากโลกเมื่อปี 2004 เป้าหมายคือ ดาวเสาร์ วงแหวน และดวงจันทร์บริวาร ยานฮอยเกนส์ขององค์การอวกาศยุโรปดีดตัวออกจากยานแคสสินีลงสู่พื้นผิวดวง จันทร์ไททันได้สำเร็จเมื่อปี 2005 ทำให้นักวิทยาศาสตร์เห็นรายละเอียดพื้นผิวดวงจันทร์ไททันใกล้ๆ เป็นครั้งแรก

แม้ ว่าจะมียานอวกาศหลายลำเคยสำรวจดาวเสาร์มาแล้ว แต่ทว่า ยานแคสสินีเป็นยานลำแรกที่โคจรรอบดาวเสาร์และศึกษาดาวเสาร์และดวงจันทร์ บริวารอย่างละเอียด

4.กล้องโทรทรรศน์อวกาศรังสีเอ็กซ์จันทรา (Chandra X-ray Observatory)

ปี 1999 องค์การนาซาได้ส่งกล้องโทรทรรศน์อวกาศรังสีเอ็กซ์จันทราขึ้นสู่อวกาศ มันเป็นกล้องโทรทรรศน์อวกาศที่สแกนท้องฟ้าเพื่อศึกษาปรากฏการณ์ทางดารา ศาสตร์ที่น่าพิศวงซึ่งอยู่ไกลโพ้นอย่างเช่นการระเบิดซุปเปอร์โนวาโดยการตรวจ จับรังสีเอ็กซ์ กล้องอวกาศนี้มีประสิทธิภาพสูงกว่ากล้องโทรทรรศน์รังสีเอ็กซ์ที่มีอยู่ ถึง100เท่า

ผลงานเด่นของกล้องอวกาศรังสีเอ็กซ์จันทราคือการแสดงให้เห็นเศษซากของดาวฤกษ์ที่หลงเหลืออยู่จากการระเบิดซุปเปอร์โนวาแคสซิโอเปีย

3.ยานไวกิ้ง (Viking)

เมื่อ ยานไวกิ้งทัชดาวน์พื้นผิวดาวอังคารในเดือนกรกฎาคม ปี 1976 มันได้กลายเป็นยานที่ไร้คนขับลำแรกที่ร่อนลงบนดาวอังคารอย่างปลอดภัย ยานไวกิ้งได้ส่งภาพสีพื้นผิวดาวอังคารมายังโลก ทำให้เราเห็นพื้นผิวสีแดง บนดาวดวงนี้เป็นครั้งแรก

ยานไวกิ้งยังเป็นเจ้าของสถิติการสำรวจพื้นผิวดาวอังคารที่นานที่สุด คือ 6 ปีกับอีก 116 วัน อีกด้วย

2.กล้องโทรทรรศน์อวกาศฮับเบิล (Hubble Space Telescope)

นี่ คือสุดยอดของยานอวกาศของนาซา และเป็นกล้องโทรทรรศน์อวกาศซึ่งเป็นที่รู้จักของคนทั่วโลก มันเป็นเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ ที่เป็นชัยชนะของนักวิทยาศาสตร์ในการขจัดอุปสรรคขวางกั้นของชั้นบรรยากาศของ โลกที่บดบังท้องฟ้า

กล้องโทรทรรศน์ฮับเบิลส่งภาพถ่ายที่เปลี่ยนแปลงความคิดที่นักวิทยาศาสตร์มีต่อปรากฏการณ์ทางดาราศาสตร์แทบจะเป็นรายวันเลยทีเดียว

1.ยานอพอลโล (Apollo)

ภารกิจ ทางวิทยาศาสตร์ที่ยอดเยี่ยมที่สุดขององค์การนาซาก็คือ ภารกิจของยานอพอลโลซึ่งไม่เพียงสร้างประวัติศาสตร์ในการนำมนุษย์ลงเหยียบบน ดวงจันทร์เท่านั้น แต่ยังเป็นปฏิบัติการแรกที่นำวัตถุจากนอกโลกกลับมายังโลกอีกด้วย

จาก การศึกษาพื้นผิวดวงจันทร์ของมนุษย์อวกาศและหินที่นำกลับมาจากดวงจันทร์ ช่วยให้นักวิทยาศาสตร์เรียนรู้อายุและส่วนประกอบของดวงจันทร์และแม้กระทั่ง จุดกำเนิดของดวงจันทร์ด้วย

ที่มา หนังสือพิมพ์มติชน

http://www.dek-d.com/board/view.php?id=1259206

วันอังคารที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

ภาวะมลพิษที่เกิดจากการผลิตและใช้ผลิตภัณฑ์จากเชื้อเพลิงซากดึกดำบรรพ์

ภาวะมลพิษที่เกิดจากการผลิตและใช้ผลิตภัณฑ์จากเชื้อเพลิงซากดึกดำบรรพ์
การนำเชื้อเพลิงซากดึกดำบรรพ์ขึ้นมาใช้ ทำให้เกิดการขยายตัวทางด้านอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น การกลั่นน้ำมันการแยกแก๊สธรรมชาติ การผลิตและการนำปิโตรเคมีภัณฑ์ไปใช้ การขนส่ง การทิ้งกากของเสียและขยะของสารที่ใช้แล้วอุตสาหกรรมเหล่านี้ล้วนมีผลโดยตรงต่อสิ่งแวดล้อม ทำให้คุณภาพของอากาศ น้ำ และดินเปลี่ยนแปลงไป เกิดอันตรายทั้งทางตรงและทางอ้อมต่อสิ่งมีชีวิต ภาวะแวดล้อมที่ก่อให้เกิดอันตรายเรียกว่า  ภาวะมลพิษ และเรียกสารที่ก่อให้เกิดภาวะมลพิษว่า สารมลพิษ   ภาวะมลพิษด้านต่างๆ ที่สำคัญได้แก่ ภาวะมลพิษทางอากาศ ทางน้ำและทางดิน

    มลภาวะทางอากาศ
    มลพิษทางอากาศมีสาเหตุส่วนใหญ่มาจากการเผาไหม้เชื้อเพลิงในโรงงานอุตสาหกรรมหรือในเครื่องยนต์ของยานพาหนะ การเผาถ่านหินหรือเชื้อเพลิงที่มีกำมะถันและสารประกอบของกำมะถันเป็นองค์ประกอบ จะมีแก๊สซัลเฟอร์ไดออกไซด์เกิดขึ้น เมื่อปะปนมากับน้ำฝนทำให้เกิดเป็นฝนกรด ซึ่งมีผลกระทบต่อการดำรงชีวิตของสัตว์น้ำ ทำให้สีใบไม้ซีดจางและสังเคราะห์แสงไม่ได้ กัดกร่อนโลหะและอาคารบ้านเรือน ถ้าร่างกายได้รับแก๊สนี้จะทำให้เกิดอาการปวดเมื่อยเรื้อรัง โลหิตจาง และเป็นอันตรายต่อระบบทางเดินหายใจและปอด การเผาไหม้เชื้อเพลิงปิโตรเลียมอย่างไม่สมบูรณ์จะได้เขม่าและออกไซด์ของคาร์บอนซึ่งได้แก่
CO2   และ CO นอกจากนี้ยังเกิดแก๊สอื่นๆ อีกหลายชนิดเช่น    SO2NO2 และ H2S รวมทั้งเถ้าถ่านที่มีโลหะปริมาณน้อยมากเป็นองค์ประกอบ
    CO2 จะทำหน้าที่คล้ายกับผ้าห่มที่ห่อหุ้มโลกและกักเก็บความร้อนเอาไว้ ทำให้อุณหภูมิของโลกสูงขึ้นที่เรียกว่าเกิดภาวะเรือนกระจก ซึ่งส่งผลกระทบต่อมนุษย์และสิ่งแวดล้อมอย่างมาก CO2 ในบรรยากาศสามารถอยู่ได้นานเป็นสิบถึงร้อยปีโดยไม่สูญสลาย ถ้าการเผาไหม้เกิดขึ้นมาก CO2 ก็จะไปสะสมอยู่ในบรรยากาศมากขึ้น
    ในบริเวณที่มียวดยานสัญจรไปมาอย่างคับคั่งหรือการจราจรติดขัดจะมีปริมาณของแก๊ส    CO สูง แก๊สชนิดนี้เป็นแก๊สพิษที่ไม่มีสีและกลิ่น จะฟุ้งกระจายปะปนอยู่ในอากาศ เมื่อหายใจเอาแก๊ส CO เข้าไป จะรวมกับฮีโมโกลบินในเลือดเกิดเป็นคาร์บอกซีฮีโมโกลบิน ทำให้เม็ดเลือดแดงไม่สามารถรับออกซิเจนได้ตามปกติ จะเกิดอาการเวียนศีรษะ หายใจอึดอัด คลื่นไส้อาเจียน ถ้าร่างกายได้รับเข้าไปมากทันทีอาจทำให้เสียชีวิตได้
    การเผาไหม้ของเชื้อเพลิงในเครื่องยนต์ต่างๆ มีไฮโดรคาร์บอนที่เผาไหม้ไม่หมดออกมาด้วย โดยเฉพาะไฮโดรคาร์บอนที่มีโมเลกุลมีพันธะคู่จะรวมตัวกับออกซิเจนหรือแก๊สโอโซน เกิดเป็นสารประกอบแอลดีไฮด์ซึ่งมีกลิ่นเหม็นทำให้เกิดอาการระคายเคืองเมื่อสูดดม นอกจากนี้ไฮโดรคาร์บอนยังอาจเกิดปฏิกิริยากับออกซิเจนและไนโตรเจนไดออกไซด์ เกิดสารประกอบเปอร์ออกซีแอซีติลไนเตรต (PAN) ซึ่งเป็นพิษทำให้เกิดการระคายเคืองต่อดวงตาและระบบทางเดินหายใจ นอกจากนี้ยังมีผลต่อพืชโดยทำลายเนื้อเยื่อที่ใบอีกด้วย

                                                                  
มลภาวะทางน้ำ              
สาเหตุสำคัญประการหนึ่งที่ก่อให้เกิดมลพิษทางน้ำคือ การใช้ปิโตรเคมีภัณฑ์ เช่น ปุ๋ยเคมี สารปราบศัตรูพืชและ
ผงซักฟอก แม้ว่าปุ๋ยเคมีและผงซักฟอกจะไม่เป็นพิษโดยตรงต่อมนุษย์แต่ก็เป็นอาหารที่ดีของพืชน้ำบางชนิด จากการศึกษาวิจัยน้ำจากแหล่งชุมชนพบว่ามีปริมาณฟอสเฟตสูงมาก ทั้งนี้เป็นเพราะน้ำทิ้งจากอาคารบ้านเรือนมีฟอสเฟตในผงซักฟอกปนอยู่ด้วย สารดังกล่าวจะกระตุ้นการเจริญงอกงามของพืชน้ำได้ดีและรวดเร็ว เมื่อพืชน้ำตาย จุลินทรีย์ในน้ำจะต้องใช้ออกซิเจนจำนวนมากในการย่อยสลายซากพืชเหล่านั้นเป็นเหตุให้ปริมาณออกซิเจนในน้ำลดลง จึงทำให้เกิดน้ำเน่าเสีย สารเคมีและวัตถุดิบมีพิษที่ใช้ในการเกษตรเพื่อเพิ่มผลผลิตในการเพาะปลูก สารกำจัดแมลงและกำจัดวัชพืช เช่น สารประกอบไนไตรต์และไนเตรต สารประกอบคลอริเนเตดไฮโดรคาร์บอน ออร์แกโนฟอสเฟต คาร์บาเมต เมื่อตกค้างอยู่ในอากาศหรือดินก็จะถูกน้ำชะล้างลงสู่แหล่งน้ำ ทำให้แหล่งน้ำในบริเวณเกษตรกรรม หรือสายน้ำที่ไหลผ่านมีสารพิษสะสมหรือปะปนอยู่ การจับสัตว์น้ำจากแหล่งน้ำในบริเวณนั้นมาบริโภคก็จะมีโอกาสได้รับพิษจากสารดังกล่าวด้วย
                น้ำมันเป็นสารอีกชนิดหนึ่งที่ก่อให้เกิดมลพิษทางน้ำเมื่อน้ำมันรั่วไหลลงสู่ทะเลหรือแม่น้ำลำคลองจะเกิดคราบน้ำมันลอยอยู่ที่ผิวน้ำ คราบน้ำมันจะเป็นแผ่นฟิล์มปกคลุมผิวน้ำทำให้ออกซิเจนในอากาศไม่สามารถละลายลงไปในน้ำได้ ทำให้น้ำขาดออกซิเจน สัตว์น้ำที่อยู่ในแหล่งน้ำบริเวณนั้นๆ อาจตายได้ ตามปกติน้ำในธรรมชาติจะมีออกซิเจนละลายอยู่ประมาณ 5 - 7 ส่วนในล้านส่วน ปริมาณออกซิเจนในน้ำหรือ  DO  (Dissolved Oxygen)  จึงมีความสำคัญและจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับการดำรงชีวิตของพืชและสัตว์น้ำการบ่งชี้คุณภาพน้ำอาจทำได้ เช่น
ก. หาปริมาณออกซิเจนที่จุลินทรีย์ต้องใช้ไปในการย่อยสลายสารอินทรีย์ในน้ำ เรียกว่า ค่า  BOD
(Biochemical Oxygen Demand) ซึ่งจะบอกถึงปริมาณจุลินทรีย์ที่ต้องใช้ออกซิเจนในน้ำ
ก.       หาปริมาณความต้องการออกซิเจนของสารเคมีที่อยู่ในน้ำ เรียกว่า ค่า   CDO    (Chemical Oxygen
Demand) ซึ่งจะบอกถึงปริมาณของสารเคมีที่สามารถทำปฏิกิริยากับออกซิเจนในน้ำ

  มลภาวะทางดิน
ดินเป็นปัจจัยที่สำคัญประการหนึ่งของสิ่งมีชีวิต จึงจำเป็นต้องรักษาดินให้ใช้ประโยชน์ได้นานที่สุด การกำจัดสารพิษ
ด้วยวิธีการฝังดินรวมทั้งการกำจัดขยะมูลฝอยและสิ่งปฏิกูลต่างๆ โดยการทิ้งบนดิน จะเป็นสาเหตุทำให้ดินมีสภาพไม่เหมาะสมสำหรับการเพาะปลูก และก่อให้เกิดภาวะมลพิษทางดิน ปุ๋ยเคมีและสารเคมีที่ใช้ปราบศัตรูพืชก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดภาวะมลพิษทางดินได้ เครื่องมือเครื่องใช้ในชีวิตประจำวัน เช่น ยางรถยนต์ พลาสติก บรรจุภัณฑ์ ผลิตภัณฑ์เหล่านี้สลายตัวยาก มีความทนทานต่อน้ำแสงแดด และอากาศ จึงตกค้างอยู่ในสิ่งแวดล้อมทั้งในดินและน้ำ นักวิทยาศาสตร์จึงคิดค้นวิธีกำจัดพลาสติกที่ใช้แล้ว รวมทั้งค้นคว้าเพื่อสังเคราะห์พลาสติกชนิดใหม่ๆ ที่สามารถใช้งานได้ในช่วงระยะเวลาหนึ่ง หลังจากนั้นจะเสื่อมสลายไป หรือสังเคราะห์พลาสติกที่จุลินทรีย์สามารถย่อยสลายได้ ในปัจจุบันมีวิธีกำจัดพลาสติกที่ใช้แล้วหลายวิธีดังนี้
. ใช้ปฏิกิริยาชีวเคมี   เนื่องจากพลาสติกส่วนใหญ่มีความทนทานต่อการย่อยสลายของเอนไซม์จากจุลินทรีย์นักวิทยาศาสตร์จึงได้คิดค้นพลาสติกที่มีโครงสร้างทางเคมีที่สามารถถูกทำลายได้ด้วยเอนไซม์ของจุลินทรีย์พวกแบคทีเรียและเชื้อรา ตัวอย่างเช่น เซลลูโลสซานเทค และเซลลูโลสแอซีเตต หรือการผสมแป้งข้าวโพดในพอลิเอทิลีนแล้วนำมาผลิตวัสดุบรรจุภัณฑ์
ข. ใช้สมบัติการละลายในน้ำ  พลาสติกบางชนิด เช่น พอลิไวนิลแอลกอฮอล์สามารถละลายในน้ำได้เมื่ออยู่ในสิ่งแวดล้อมที่มีความชื้นสูง หรืออยู่ในน้ำซึ่งเป็นตัวทำละลายในธรรมชาติ เมื่ออุณหภูมิสูงขึ้นพลาสติกจะละลายได้เพิ่มขึ้น
ค. ใช้แสงแดด  นักเคมีชาวแคนาดาพบว่าการเติมหมู่ฟังก์ชันที่ไวต่อแสงอัลตราไวโอเลตเข้าไปในโซ่พอลิเมอร์ เมื่อพลาสติกถูกแสงแดดจะเกิดสารที่ทำปฏิกิริยากับออกซิเจนในอากาศทำให้พลาสติกเสื่อมคุณสมบัติ เปราะแตก และหักง่าย
ง. ใช้ความร้อน  พลาสติกพวกที่เป็นสารประกอบไฮโดรคาร์บอน เมื่อได้รับความร้อนถึงระดับหนึ่งจะสลายตัวเป็นโมเลกุลขนาดเล็ก ในที่สุดจะได้คาร์บอนไดออกไซด์กับน้ำหรือสารอื่นซึ่งเป็นพิษปนออกมาด้วย ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับชนิดของพลาสติก เช่น พอลิเอทิลีนติดไฟง่าย พอลิสไตรีนเผาไหม้ให้ควันดำและเขม่ามาก ส่วนพอลิไวนิลคลอไรด์ติดไฟยากต้องให้ความร้อนตลอดเวลาและมีแก๊สไฮโดรเจนคลอไรด์ซึ่งเป็นแก๊สพิษเกิดขึ้นด้วย การเผาเป็นวิธีกำจัดพลาสติกที่รวดเร็ว แต่มีข้อเสียคืออาจเกิดสารพิษที่ก่อให้เกิดภาวะมลพิษทางอากาศได้
จ. นำกลับมาใช้ใหม่  พลาสติกประเภทเทอร์มอพลาสติกสามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้ โดยล้างทำความสะอาดแล้วนำเข้าเครื่องตัดเป็นชิ้นเล็กก่อนเข้าเครื่องอัดเม็ดเม็ดพลาสติกที่ได้จะสามารถนำไปหลอมเป็นชิ้นงานได้อีก เช่น นำไปใช้ทำโฟมกันกระแทกในการบรรจุผลิตภัณฑ์ ผสมในซีเมนต์เพื่อให้รับแรงกระแทก ใช้ถมที่ดินชายฝั่งทะเลแล้วอัดให้แน่นเพื่อสร้างที่อยู่อาศัย หรืออาจนำมาอัดให้แน่นใช้ทำเป็นอิฐหรือวัสดุก่อสร้างซึ่งเป็นวิธีที่เหมาะสมในแง่เศรษฐกิจและเป็นการสงวนทรัพยากร
นักเรียนได้ทราบปัญหาความเสื่อมโทรมของสิ่งแวดล้อม การเกิดภาวะมลพิษทั้งทางอากาศ น้ำ และดินอันเป็นผลจากการใช้และพัฒนาผลิตภัณฑ์จากเชื้อเพลิง ซากดึกดำบรรพ์ซึ่งเป็นทรัพยากรธรรมชาติอันมีค่า เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นกับทุกประเทศในโลกโดยเฉพาะกับประเทศอุตสาหกรรม จากผลของการพัฒนาทางด้านสังคม เศรษฐกิจ และอุตสาหกรรมเพื่อสนองความต้องการของประชากรที่เพิ่มขึ้น การป้องกันเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาดังกล่าวต้องอาศัยความร่วมมือกันตั้งแต่ระดับท้องถิ่น ประเทศและระดับโลก เนื่องจากปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นนั้นเป็นผลมาจากการกระทำของมนุษย์เป็นส่วนใหญ่ จึงเป็นหน้าที่และความรับผิดชอบของทุกๆ คนที่จะต้องช่วยกันดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมให้อยู่ในสภาพที่ดี รวมทั้งการใช้เชื้อเพลิงและผลิตภัณฑ์เหล่านี้อย่างประหยัดและรู้คุณค่า รวมทั้งแสวงหาแหล่งพลังงานทดแทน เพื่อการดำรงชีวิตที่มีความสุขและปลอดภัยร่วมกันตลอดไป

ที่มา http://www.vcharkarn.com/lesson/view.php?id=1466