วันอังคารที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

กาแฟช่วยเพิ่มทักษะการใช้ภาษา

กาแฟ เครื่องดื่มยอดฮิตสำหรับคนทำงานในปัจจุบัน ถึงแม้จะรู้ว่าผลเสียของกาแฟมีมากมายไม่ว่าจะเป็นทำให้หัวใจเต้นเร็ว เพิ่มความดันเลือด หรือแม้กระทั่งก่อให้เกิดโรคนอนไม่หลับ หรือเป็นโรควิตกกังวลก็ตาม ถึงกระนั้นกาแฟก็ยังคงได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น



       งาน วิจัยชิ้นนี้ คงเป็นข่าวดีสำหรับคอกาแฟทุกท่าน หลังจากที่ได้ยินผลเสียของกาแฟมาอย่างมากมาย ทีมนักจิตวิทยานำโดย Lars Kuchinke จากมหาวิทยาลัย Ruhr ประเทศเยอรมณี ได้พยายามศึกษาว่า คาเฟอีนมีผลกระทบกับความสามารถในการจัดเรียงคำที่ให้อารมณ์ความรู้สึกเชิง บวก เชิงลบ หรือเป็นกลางหรือไม่

       งานวิจัยก่อนหน้านี้ได้ทดสอบโดยให้อาสาสมัครดูตัวอักษรที่อยู่บนหน้าจอ คอมพิวเตอร์แล้วตัดสินใจว่า ตัวอักษรเหล่านั้นสามารถเรียงเป็นคำได้หรือไม่ พบว่าอาสาสมัครมีแนวโน้มที่จะคิดและเรียงตัวอักษรได้อย่างรวดเร็ว โดยคำที่เรียงออกมามักจะมีความหมายในแง่ดีมากกว่าแง่ร้าย และผลงานวิจัยอีกงานหนึ่งชี้ให้เห็นว่า คาเฟอีนช่วยให้อาสาสมัครตอบสนองต่อเหตุการณ์ได้เร็วขึ้นและมีความผิดพลาดลด ลง



       Lars Kuchinke และคณะได้สันนิษฐานว่า คาเฟอีนจะช่วยให้อาสาสมัครสามารถจัดเรียงคำศัพท์ที่มีความหมายในแง่บวกหรือ ลบได้อย่างรวดเร็ว โดยงานวิจัยนี้ได้แบ่งอาสาสมัครเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มแรก ให้อาสาสมัครทั้ง 33 คนรับประทานยาเม็ดที่ประกอบด้วยคาเฟอีนปริมาณ 200 มก. ซึ่งเทียบเท่ากับการดื่มกาแฟ 2-3 แก้ว และอาสาสมัครกลุ่มที่ 2 จำนวน 33 คน ทานยาเม็ดที่บรรจุน้ำตาลแลคโตสซึ่งไม่มีผลใดๆ กับร่างกาย

       ผลการทดลองพบว่า อาสาสมัครกลุ่มที่รับประทานคาเฟอีนเม็ดสามารถเรียงคำที่มีความหมายเชิงบวก ได้เร็วขึ้นและมีความถูกต้องมากขึ้น 7 เปอร์เซ็นต์ แต่ไม่มีความแตกต่างเมื่อเป็นคำที่มีความหมายเชิงลบหรือมีความหมายกลางๆ เมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มที่ทานยาเม็ดที่บรรจุน้ำตาลแลคโตส

       เหตุผลที่อาสาสมัครสามารถจัดเรียงคำทีมีความหมายในเชิงบวกได้ดีกว่าและรวด เร็วกว่า เนื่องจากคาเฟอีนไปกระตุ้นการทำงานของสมองซึกซ้าย ซึ่งทำหน้าที่ในการคิดวิเคราะห์ การใช้ตรรกศาสตร์และการใช้ภาษา ทำให้อาสาสมัครสามารถจัดเรียงคำได้เร็วมากขึ้น และยังไปกระตุ้นระบบประสาทส่วนกลาง ซึ่งเป็นศูนย์กลางควบคุมการทำงานของร่างกาย คอยรวบรวมข้อมูลและตอบสนองต่อสิ่งเร้าต่างๆ เพิ่มการหลังโดปามีน ซึ่งเป็นสารที่ทำหน้าที่ในการควบคุมอารมณ์ การเรียบเรียงความนึกคิด การทำหน้าที่ของสมองในการควบคุมการเคลื่อนไหว และยังเป็นสารที่เกี่ยวข้อกับอารมณ์พึงพอใจ ทำให้เกิดความสุข และเพิ่มอัตราการเต้นของหัวใจ ซึ่งการเพิ่มการหลั่งของโดปามีนนี้เอง น่าจะเป็นเหตุผลให้ตอบสนองต่อคำที่มีความหมายเชิงบวก



       นักวิทยาศาสตร์ยังไม่หยุดการศึกษาไว้เพียงเท่านี้ แต่ยังวางแผนไว้ว่าจะตรวจสอบผลของคาเฟอีนด้วยการแสกนการทำงานของสมอง เพื่อดูความเชื่อมโยงระหว่างการคิดในแง่ดีกับการหลั่งของโดปามีนอีกด้วย




ขอบคุณข้อมูลจาก http://healthmad.com/health/coffee-can-make-us-happier/

                            http://www.vcharkarn.com/vnews/154687

วันศุกร์ที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2555

น้ำแข็ง อันตรายกว่าที่คิด


         

          ในแต่ละวันแทบทุกคนล้วนต้องเกี่ยวพันกับเจ้าน้ำแข็งใสๆ กันใช่ไหมคะ?   ไม่ว่าจะมาจากการไปรับประทานอาหารนอกบ้าน เช่นที่ภัตตาคาร ร้านอาหาร ไปจนถึงร้านเครื่องดื่มข้างทางหรือหน้าออฟฟิศ แล้วรู้กันไหมคะว่า เห็นหน้าตาใส ๆ เย็น ๆ แบบนี้ มีอันตรายแฝงอยู่อย่างไม่น่าเชื่อ?!

          หลายคนอาจสงสัยว่า เอ๊ะ!..น้ำแข็งก็ทำมาจากน้ำทั้งหมด 100% แล้วอันตรายจะมาจากตรงไหน ?   อันตรายที่ควรระวังจากน้ำแข็งนั้นคืออะไรกัน? 


          น้ำแข็งที่เราบริโภคกันโดยส่วนใหญ่ มาจาก 2 แหล่งหลักๆ คือ น้ำแข็งที่ผลิตมาจากโรงงานผลิตน้ำแข็ง และน้ำแข็งที่ผลิตจากเครื่องทำน้ำแข็งอัตโนมัติ ไม่นับที่แช่ทำเองในตู้เย็นบ้านเรานะคะ
          อันตรายจากน้ำแข็งที่ว่านี้ ส่วนใหญ่ที่เราควรระมัดระวังกันก็คือ เชื้อโรค หรือจุลินทรีย์ในกลุ่มที่ก่อให้เกิดโรคที่ปะปนมาจากการผลิตและการขนส่งกันนั่นเองค่ะ   เห็นไหมคะว่า เป็นภัยร้ายที่มองไม่เห็นกันจริง ๆ หากเราเคยติดตามข่าวสารของคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) หรือจากกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข อาจเคยได้ยินอยู่บ่อย ๆ กับการตรวจพบจุลินทรีย์ที่ก่อให้เกิดโรคในน้ำแข็งมีเกินมาตรฐาน

          เช่น กรณีการพบโรงงานน้ำแข็งหลอดย่านบางเขน ซึ่งปรับที่พักเป็นโรงงานผลิต เมื่ออย.เข้าตรวจและนำตัวอย่างส่งตรวจ พบปนเปื้อนเชื้อโรคเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะ อี.โคไล จุลินทรีย์ซาลโมเนลล่า ตัวการโรคท้องร่วง ซึ่งปกติเชื้อโรคดังกล่าวจะปนเปื้อนในอุจจาระเท่านั้น


          ภัยที่น่ากลัวจากน้ำแข็งนี้มาจากกระบวนการผลิตและการขนส่งของโรงงานที่ไม่ได้มาตรฐาน ไม่มีจิตสำนึกที่ดีในการผลิตอาหารให้ปลอดภัย ตั้งแต่มาตรฐานน้ำที่จะนำมาผลิตน้ำแข็งเพื่อการบริโภค ก็ควรต้องเป็นน้ำมาตรฐานน้ำบริโภค และผู้เขียนเองมั่นใจว่า โรงงานน้ำแข็งที่ผลิตภายใต้สุขลักษณะที่ดี และผ่านการตรวจสอบคุณภาพ และการประเมินโรงงานตามกระทรวงสาธารณสุขนั้นมีน้อยมาก
          น้ำแข็งที่เราบริโภคกันในปัจจุบันมีมากมายหลายชนิด ตั้งแต่น้ำแข็งหลอด น้ำแข็งเกล็ด น้ำแข็งโม่ หรือน้ำแข็งป่น (ที่โม่และป่นมาจากน้ำแข็งซอง สมัยก่อนเรียก น้ำแข็งมือ นึกภาพง่ายๆ คือ น้ำแข็งก้อนใหญ่ๆ ที่นำมาทำเป็นน้ำแข็งใสนั่นเอง)


          น้ำแข็งที่เราควรระวังมากที่สุด คือ น้ำแข็งโม่ หรือน้ำแข็งป่น  โดยเฉพาะที่ผลิตจากโรงงานที่ไม่ได้มาตรฐาน และร้านอาหารตามสั่งร้านขายเครื่องดื่มทั่วไปนิยมใช้ใส่แก้วมาให้เรา ในน้ำแข็งพวกนี้พบว่า มีการปนเปื้อนของเชื้อโรคตั้งแต่แหล่งน้ำที่ใช้ในการผลิตน้ำแข็ง กระบวนการตัดก้อนน้ำแข็งให้มีขนาดเล็กลงจากการใช้ใบมีดที่เป็นเหล็กและมีสนิม

         และอีกปัจจัยหนึ่งคือ  โรงงานผลิตน้ำแข็งที่ไม่ได้มาตรฐาน  ที่พบเห็นอยู่บ่อย ๆ  คือพนักงานไม่สวมเสื้อทำงาน ใส่เพียงกางเกงขาสั้น และรองเท้าบูท เดินบนลานน้ำแข็งไปมา ส่วนบรรจุภัณฑ์ก็มักใช้เป็นกระสอบเก่าใบสีขาว ที่เคยใส่ข้าวสาร ใส่แป้ง และไม่แน่ใจว่าจะเอากระสอบสารเคมีอะไรมาใส่หรือเปล่า มีกระบวนการในการล้างทำความสะอาดกระสอบที่เวียนกลับมาใช้หรือไม่


          นอกจากนี้ยังไม่รวมการปนเปื้อนเมื่อมาถึงที่ร้านแล้ว หากแม่ค้าพ่อค้าไม่ใส่ใจความสะอาด นำน้ำแข็งมาแช่ในถังที่เดียวกับหมูสด ผักสดที่ใช้เป็นวัตถุดิบต่างๆ  ฟังเท่านี้แล้วอาจเลิกทานน้ำแข็งประเภทนี้กันไปเลยใช่ไหมคะ

          สังเกตไหมคะว่า ชาวต่างชาติจะกลัวน้ำแข็งบ้านเรามากๆ เพราะหลายต่อหลายรายท้องเสีย ท้องร่วง อาหารเป็นพิษเข้าโรงพยาบาลเพียงเพราะน้ำแข็งกัน และหลายครั้งที่เราก็มีอาการเดียวกัน แต่มัวไปคิดถึงว่า เราไปทานอะไรมา โดยที่ทุกๆ คนจะมองข้ามน้ำแข็งไป


          นอกจากนี้ เคยลองสังเกตน้ำแข็งแต่ละร้านที่เราทานเข้าไปกันบ้างไหมคะว่าสะอาดหรือไม่ แค่ลองสังเกตดูก้นแก้วเวลาที่น้ำแข็งละลายหมดแล้ว บางร้านผู้เขียนเคยเห็นว่า มีตะกอนสิ่งสกปรกตกอยู่ที่ก้นแก้วจำนวนมาก นี่แค่สิ่งที่มองเห็นได้เท่านั้นนะคะ

          ดังนั้นหากเราอยากทานน้ำแข็งที่สะอาดปลอดภัย จึงควรใส่ใจกับแหล่งที่มา และพยายามสังเกตน้ำแข็งจากร้านที่เราทานว่า สะอาดเพียงพอหรือไม่ ควรเลือกทานน้ำแข็งที่ผลิตโดยเครื่องอัตโนมัติ เพราะมีความเสี่ยงน้อยกว่า หรือเลือกทานน้ำแข็งอนามัยที่ผ่านการรับรองคุณภาพตามระบบ GMP หรือระบบความปลอดภัยของอาหารดีกว่าค่ะ กรณีไปซื้อเครื่องดื่มหรือทานอาหารตามร้านที่ไม่ได้ใช้น้ำแข็งที่ผลิตจากเครื่องอัตโนมัติ ก็ควรสังเกตภาชนะที่ใส่น้ำแข็งกันนะคะว่ามีความสะอาดและสุขลักษณะที่ดีเพียงใด ไม่อย่างนั้นแล้ว เราอาจได้เชื้อจุลินทรีย์ที่ก่อให้เกิดโรคเข้ามาในร่างกายเรา จนทำให้เราเจ็บป่วยได้นะคะ


          อยากมีสุขภาพที่แข็งแรง ไม่เจ็บป่วยง่าย จึงควรใส่ใจสิ่งที่เราจะทานเข้าไปกันสักนิด  อย่าลืมประโยคสำคัญที่ว่า You are what you eat  กินอะไรได้อย่างนั้นกันนะคะ.

ขอบคุณข้อมูลดี ๆ จาก เดลินิวส์ออนไลน์

วันพุธที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2555

โรงไฟฟ้าเทคโนถ่านหินสะอาด ทางรอดวิกฤติพลังงานชาติไทย


          

          ปัญหาการพัฒนาพลังงานของประเทศไทยยังเป็นที่ถกเถียงกันอย่างต่อเนื่อง หลายครั้งหลายคราก็ทำให้การพัฒนาพลังงานเกิดความล่าช้า และไม่รู้ว่าจะเดินไปทิศทางไหน เพราะแต่ละภาคส่วนที่เกี่ยวข้องไม่ได้สร้างความรู้ความเข้าใจให้แก่กันเท่าที่ควร ผลที่ตามมาจึงเป็นความเห็นที่แตกต่างกัน คงถึงเวลาที่จะต้องรีบสร้างความเข้าใจและเปิดอกรับฟังกัน เพื่อรับมือกับวิกฤติพลังงานที่จะเกิดขึ้นกับประเทศในอีกไม่กี่ปีข้างหน้านี้ ต.เขาหินซ้อน อ.พนมสารคาม จ.ฉะเชิงเทรา เป็นตัวอย่างหนึ่งที่มีการสร้างความเข้าใจและการมีส่วนร่วมกับชุมชน โดยมีนักวิชาการเข้ามาบรรยายให้ความรู้ในเรื่อง “โรงไฟฟ้าเทคโนโลยีถ่านหินสะอาด ทางรอดพลังงานไทย ที่ชุมชนต้องร่วมเรียนรู้” ณ ศูนย์ศึกษาการพัฒนาเขาหินซ้อนอันเนื่องมาจากพระราชดำริ เนื่องจากพื้นที่นี้จะมีโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อน 600 เมกะวัตต์ เกิดขึ้นในอนาคต

       อาจารย์สุรพันธ์ วงษ์โอภาสี นักวิชาการด้านพลังงานและเลขาธิการศูนย์พัฒนาการใช้ถ่านหินแห่งประเทศไทย ได้อธิบายให้เห็นยุทธศาสตร์การพัฒนาพลังงานในภาพรวมว่า มีเรื่องที่ควรพิจารณาอยู่ 4 ด้าน ได้แก่ 1.ด้านเศรษฐศาสตร์ ที่คำนึงถึงต้นทุนการผลิตเพื่อให้ผู้ใช้ได้ใช้ไฟที่คุ้มค่าราคาถูก 2.ด้านสิ่งแวดล้อม มุ่งเน้นการผลิตไฟฟ้าที่ไม่ส่งผลต่อสิ่งแวดล้อม 3.ด้านเทคโนโลยี เน้นความพร้อมและสามารถนำมาใช้ได้จริง และ 4.ด้านความมั่นคงทางพลังงาน เชื้อเพลิงต้องมีปริมาณสำรองมากพอที่จะผลิตไฟฟ้าได้อย่างมั่นคง การกำหนดยุทธศาสตร์พลังงานจึงควรมองให้ครบทั้ง 4 ด้าน ขึ้นอยู่กับว่าแต่ละประเทศจะมุ่งเน้นเรื่องไหน
       สำหรับประเทศไทยมีการใช้ก๊าซธรรมชาติผลิตไฟฟ้าสูงถึงเกือบ 70% และมีอัตราการใช้ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นปีละประมาณ 4-5% พบว่าความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสุดเพิ่มขึ้นจาก 23,900 เมกะวัตต์ ในปี 2554 เป็น 26,121 เมกะวัตต์ ในปี 2555 ในขณะที่ปริมาณกำลังผลิตไฟฟ้าสำรองลดลงจาก 24.17% ในปี 2554 เหลือ 16.95% ในปี 2555 หากไม่มีการสร้างโรงไฟฟ้าเพื่อรองรับความต้องการใช้ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น อีกประมาณ 3-4 ปี ประเทศไทยก็จะมีไฟฟ้าไม่พอใช้และเกิดไฟฟ้าดับในวงกว้าง (Blackout)

       ด้วยเหตุผลนี้ประเทศไทยจึงจำเป็นต้องมีโรงไฟฟ้าจากการใช้เชื้อเพลิงที่หลากหลาย เพื่อความมั่นคงทางด้านพลังงาน รวมถึงการสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินเพิ่มขึ้น เนื่องจากการสร้างโรงไฟฟ้าประเภทอื่นไม่สามารถผลิตไฟฟ้าให้เพียงพอกับความต้องการใช้ที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งถ่านหินมีปริมาณสำรองที่มากพอสำหรับรองรับการผลิตไฟฟ้าในระยะยาว


ขอบคุณข้อมูลจาก หนังสือพิมพ์บ้านเมือง

วันเสาร์ที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

10 อันดับสุดยอดภารกิจของนาซา

10 อันดับสุดยอดภารกิจของนาซา



กล้อง โทรทรรศน์อวกาศเคปเลอร์ ซึ่งถูกส่งขึ้นสู่อวกาศเมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2009 อาจจะกลายเป็นตำนานที่ยิ่งใหญ่ขององค์การนาซาเช่นเดียวกับยานอพอลโล และกล้องโทรทรรศน์อวกาศฮับเบิล หากมันประสบความสำเร็จในการค้นพบดาวเคราะห์ขนาดเท่าโลกซึ่งโคจรรอบดาวฤกษ์ คล้ายดวงอาทิตย์ในโซนที่สิ่งมีชีวิตอยู่อาศัยได้

แน่นอนว่า กล้องโทรทรรศน์อวกาศเคปเลอร์จะต้องถูกจัดอันดับให้เป็นหนึ่งในสุดยอดภารกิจ ทางวิทยาศาสตร์ขององค์การนาซาในอนาคต ซึ่งปัจจุบันเว็บไซต์สเปซดอทคอมได้จัดอันดับไว้ 10 อันดับ มาดูกันว่าภารกิจเหล่านั้นเป็นปฏิบัติการของยานอวกาศลำใดบ้าง

10.ยานไพโอเนียร์ (Pioneer)

ยาน ไพโอเนียร์ 10 และ 11 ขึ้นสู่อวกาศในปี 1972 และ 1973 ตามลำดับ เป็นยานอวกาศสองลำแรกที่สำรวจดาวก๊าซยักษ์ของระบบสุริยะของเรา คือดาวพฤหัสบดีและดาวเสาร์ ยานไพโอเนียร์ 10 เดินทางผ่านวงแหวนดาวเคราะห์น้อยและบินผ่านดาวพฤหัสบดี มันสามารถถ่ายภาพ จุดแดงใหญ่ (Great Red Spot) พายุบนดาวพฤหัสบดีในระยะใกล้มาให้ชมกันอย่างชัดๆ

ส่วนยานไพโอเนียร์ 11 นั้นบินผ่านดาวพฤหัสบดีและเดินทางต่อไปยังดาวเสาร์ ที่นั่นมันค้นพบดวงจันทร์ขนาดเล็กของดาวเสาร์สองดวงและวงแหวนใหม่

ปัจจุบันยานทั้งสองลำหยุดส่งข้อมูลมายังโลกแล้ว และกำลังเดินทางออกนอกระบบสุริยะเช่นเดียวกับยานแฝดวอยเอเจอร์

9.ยานวอยเอเจอร์ (Voyager)

หลัง จากยานแฝดไพโอเนียร์บินผ่านดาวก๊าซยักษ์ได้ไม่นานนัก ยานอวกาศอีกสองลำก็เดินทางไปสำรวจดาวก๊าซยักษ์อย่างละเอียด นั่นคือยานวอยเอเจอร์ 1 และวอยเอเจอร์ 2 ยานทั้งสองลำได้ค้นพบสิ่งใหม่ๆ เกี่ยวกับดาวพฤหัสบดีและดาวเสาร์มากมาย เช่น พบวงแหวนของดาวพฤหัสบดี ภูเขาไฟบนดวงจันทร์ไอโอ บริวารของดาวพฤหัสบดี เป็นต้น


วอ ยเอเจอร์ยังเป็นยานลำแรกที่บินผ่านดาวยูเรนัสและเนปจูนอีกด้วย มันค้นพบดวงจันทร์ใหม่ของดาวยูเรนัสมากถึง 10 ดวง และพบว่าดาวเนปจูนมีน้ำหนักน้อยกว่าที่นักวิทยาศาสตร์เคยประมาณไว้

ปัจจุบันยานแฝดวอยเอเจอร์กำลังเดินทางออกนอกระบบสุริยะเพื่อสำรวจอวกาศระหว่างดวงดาว และขณะนี้มันกำลังสำรวจบริเวณขอบระบบสุริยะ

8.ยานดับเบิลยูแมพ (WMAP)

ยาน หรือดาวเทียมดับเบิลยูแมพ (Wilkinson Microwave Anisotropy Probe -WMAP) ชื่อไม่คุ้นหูนักแต่สร้างผลงานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดต่อการศึกษาจักรวาล นั่นคือการวัดอุณหภูมิของรังสีที่เหลืออยู่หลังการระเบิดบิ๊กแบง จากการทำแผนที่การกระเพื่อมของรังสีที่เรียกกันว่ารังสีฉากหลังของจักรวาลทำ ให้นักวิทยาศาสตร์เข้าใจธรรมชาติและจุดกำเนิดของจักรวาล

ข้อมูลจาก ยาน WMAP ยังทำให้นักวิทยาศาสตร์สามารถวัดอายุของจักรวาลได้เท่ากับ 13.7 พันล้านปี และยืนยันว่านอกจากสสารปกติแล้ว ส่วนประกอบของจักรวาลประมาณ 95% เป็นสสารมืดและพลังงานมืด

7.กล้องโทรทรรศน์อวกาศสปิตเซอร์ (Spitzer Space Telescope)

นี่ คือหนึ่งในกล้องโทรทรรศน์อวกาศที่ทำให้นักจักรวาลวิทยาและนักฟิสิกส์ดารา ศาสตร์เข้าใจจักรวาลมากขึ้นผ่านดวงตาอินฟราเรดของมัน ภาพถ่ายกาแล็กซี่ เนบิวลา และดาวฤกษ์จำนวนมากทำให้เกิดการค้นพบใหม่ๆ ทางวิทยาศาสตร์ ในปี 2005 กล้องอวกาศสปิตเซอร์กลายเป็นกล้องตัวแรกที่สามารถตรวจจับแสงของดาวเคราะห์ นอกระบบสุริยะได้

นักดาราศาสตร์หลายคนเชื่อว่า วันหนึ่งกล้องอวกาศสปิตเซอร์จะสามารถตรวจจับแสงจากดาวฤกษ์ดวงแรกๆ ที่กำเนิดขึ้นในจักรวาลได้



6.รถหุ่นยนต์สปิริตและอ๊อพพอร์จูนิตี้ (Spirit & Opportunity)

ภารกิจ ของรถหุ่นยนต์สปิริตและอ๊อพพอร์จูนิตี้ คือสำรวจพื้นผิวดาวอังคารเพื่อค้นหาร่องรอยของน้ำเป็นเวลา 90 วันหลังจากยานแม่นำมันลงบนพื้นผิวดาวอังคารในเดือน มกราคม ปี 2004 ทว่า รถหุ่นยนต์ทั้งสองคันปฏิบัติภารกิจบนดาวอังคารได้ยาวนานกว่า 5 ปี โดยปัจจุบันก็ยังคงทำการสำรวจอยู่ ผลงานที่ยอดเยี่ยมคือการค้นพบหลักฐานร่องรอยน้ำบนพื้นผิวดาวอังคารในอดีต

5.ยานแคสสินีและฮอยเกนส์ (Cassini-Huygens)

โครง การแคสสินี-ฮอยเกนส์ เป็นความร่วมมือระหว่างองค์การนาซากับองค์การอวกาศยุโรป ยานแม่แคสสินีและยานลูกฮอยเกนส์ออกเดินทางจากโลกเมื่อปี 2004 เป้าหมายคือ ดาวเสาร์ วงแหวน และดวงจันทร์บริวาร ยานฮอยเกนส์ขององค์การอวกาศยุโรปดีดตัวออกจากยานแคสสินีลงสู่พื้นผิวดวง จันทร์ไททันได้สำเร็จเมื่อปี 2005 ทำให้นักวิทยาศาสตร์เห็นรายละเอียดพื้นผิวดวงจันทร์ไททันใกล้ๆ เป็นครั้งแรก

แม้ ว่าจะมียานอวกาศหลายลำเคยสำรวจดาวเสาร์มาแล้ว แต่ทว่า ยานแคสสินีเป็นยานลำแรกที่โคจรรอบดาวเสาร์และศึกษาดาวเสาร์และดวงจันทร์ บริวารอย่างละเอียด

4.กล้องโทรทรรศน์อวกาศรังสีเอ็กซ์จันทรา (Chandra X-ray Observatory)

ปี 1999 องค์การนาซาได้ส่งกล้องโทรทรรศน์อวกาศรังสีเอ็กซ์จันทราขึ้นสู่อวกาศ มันเป็นกล้องโทรทรรศน์อวกาศที่สแกนท้องฟ้าเพื่อศึกษาปรากฏการณ์ทางดารา ศาสตร์ที่น่าพิศวงซึ่งอยู่ไกลโพ้นอย่างเช่นการระเบิดซุปเปอร์โนวาโดยการตรวจ จับรังสีเอ็กซ์ กล้องอวกาศนี้มีประสิทธิภาพสูงกว่ากล้องโทรทรรศน์รังสีเอ็กซ์ที่มีอยู่ ถึง100เท่า

ผลงานเด่นของกล้องอวกาศรังสีเอ็กซ์จันทราคือการแสดงให้เห็นเศษซากของดาวฤกษ์ที่หลงเหลืออยู่จากการระเบิดซุปเปอร์โนวาแคสซิโอเปีย

3.ยานไวกิ้ง (Viking)

เมื่อ ยานไวกิ้งทัชดาวน์พื้นผิวดาวอังคารในเดือนกรกฎาคม ปี 1976 มันได้กลายเป็นยานที่ไร้คนขับลำแรกที่ร่อนลงบนดาวอังคารอย่างปลอดภัย ยานไวกิ้งได้ส่งภาพสีพื้นผิวดาวอังคารมายังโลก ทำให้เราเห็นพื้นผิวสีแดง บนดาวดวงนี้เป็นครั้งแรก

ยานไวกิ้งยังเป็นเจ้าของสถิติการสำรวจพื้นผิวดาวอังคารที่นานที่สุด คือ 6 ปีกับอีก 116 วัน อีกด้วย

2.กล้องโทรทรรศน์อวกาศฮับเบิล (Hubble Space Telescope)

นี่ คือสุดยอดของยานอวกาศของนาซา และเป็นกล้องโทรทรรศน์อวกาศซึ่งเป็นที่รู้จักของคนทั่วโลก มันเป็นเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ ที่เป็นชัยชนะของนักวิทยาศาสตร์ในการขจัดอุปสรรคขวางกั้นของชั้นบรรยากาศของ โลกที่บดบังท้องฟ้า

กล้องโทรทรรศน์ฮับเบิลส่งภาพถ่ายที่เปลี่ยนแปลงความคิดที่นักวิทยาศาสตร์มีต่อปรากฏการณ์ทางดาราศาสตร์แทบจะเป็นรายวันเลยทีเดียว

1.ยานอพอลโล (Apollo)

ภารกิจ ทางวิทยาศาสตร์ที่ยอดเยี่ยมที่สุดขององค์การนาซาก็คือ ภารกิจของยานอพอลโลซึ่งไม่เพียงสร้างประวัติศาสตร์ในการนำมนุษย์ลงเหยียบบน ดวงจันทร์เท่านั้น แต่ยังเป็นปฏิบัติการแรกที่นำวัตถุจากนอกโลกกลับมายังโลกอีกด้วย

จาก การศึกษาพื้นผิวดวงจันทร์ของมนุษย์อวกาศและหินที่นำกลับมาจากดวงจันทร์ ช่วยให้นักวิทยาศาสตร์เรียนรู้อายุและส่วนประกอบของดวงจันทร์และแม้กระทั่ง จุดกำเนิดของดวงจันทร์ด้วย

ที่มา หนังสือพิมพ์มติชน

http://www.dek-d.com/board/view.php?id=1259206

วันอังคารที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

ภาวะมลพิษที่เกิดจากการผลิตและใช้ผลิตภัณฑ์จากเชื้อเพลิงซากดึกดำบรรพ์

ภาวะมลพิษที่เกิดจากการผลิตและใช้ผลิตภัณฑ์จากเชื้อเพลิงซากดึกดำบรรพ์
การนำเชื้อเพลิงซากดึกดำบรรพ์ขึ้นมาใช้ ทำให้เกิดการขยายตัวทางด้านอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น การกลั่นน้ำมันการแยกแก๊สธรรมชาติ การผลิตและการนำปิโตรเคมีภัณฑ์ไปใช้ การขนส่ง การทิ้งกากของเสียและขยะของสารที่ใช้แล้วอุตสาหกรรมเหล่านี้ล้วนมีผลโดยตรงต่อสิ่งแวดล้อม ทำให้คุณภาพของอากาศ น้ำ และดินเปลี่ยนแปลงไป เกิดอันตรายทั้งทางตรงและทางอ้อมต่อสิ่งมีชีวิต ภาวะแวดล้อมที่ก่อให้เกิดอันตรายเรียกว่า  ภาวะมลพิษ และเรียกสารที่ก่อให้เกิดภาวะมลพิษว่า สารมลพิษ   ภาวะมลพิษด้านต่างๆ ที่สำคัญได้แก่ ภาวะมลพิษทางอากาศ ทางน้ำและทางดิน

    มลภาวะทางอากาศ
    มลพิษทางอากาศมีสาเหตุส่วนใหญ่มาจากการเผาไหม้เชื้อเพลิงในโรงงานอุตสาหกรรมหรือในเครื่องยนต์ของยานพาหนะ การเผาถ่านหินหรือเชื้อเพลิงที่มีกำมะถันและสารประกอบของกำมะถันเป็นองค์ประกอบ จะมีแก๊สซัลเฟอร์ไดออกไซด์เกิดขึ้น เมื่อปะปนมากับน้ำฝนทำให้เกิดเป็นฝนกรด ซึ่งมีผลกระทบต่อการดำรงชีวิตของสัตว์น้ำ ทำให้สีใบไม้ซีดจางและสังเคราะห์แสงไม่ได้ กัดกร่อนโลหะและอาคารบ้านเรือน ถ้าร่างกายได้รับแก๊สนี้จะทำให้เกิดอาการปวดเมื่อยเรื้อรัง โลหิตจาง และเป็นอันตรายต่อระบบทางเดินหายใจและปอด การเผาไหม้เชื้อเพลิงปิโตรเลียมอย่างไม่สมบูรณ์จะได้เขม่าและออกไซด์ของคาร์บอนซึ่งได้แก่
CO2   และ CO นอกจากนี้ยังเกิดแก๊สอื่นๆ อีกหลายชนิดเช่น    SO2NO2 และ H2S รวมทั้งเถ้าถ่านที่มีโลหะปริมาณน้อยมากเป็นองค์ประกอบ
    CO2 จะทำหน้าที่คล้ายกับผ้าห่มที่ห่อหุ้มโลกและกักเก็บความร้อนเอาไว้ ทำให้อุณหภูมิของโลกสูงขึ้นที่เรียกว่าเกิดภาวะเรือนกระจก ซึ่งส่งผลกระทบต่อมนุษย์และสิ่งแวดล้อมอย่างมาก CO2 ในบรรยากาศสามารถอยู่ได้นานเป็นสิบถึงร้อยปีโดยไม่สูญสลาย ถ้าการเผาไหม้เกิดขึ้นมาก CO2 ก็จะไปสะสมอยู่ในบรรยากาศมากขึ้น
    ในบริเวณที่มียวดยานสัญจรไปมาอย่างคับคั่งหรือการจราจรติดขัดจะมีปริมาณของแก๊ส    CO สูง แก๊สชนิดนี้เป็นแก๊สพิษที่ไม่มีสีและกลิ่น จะฟุ้งกระจายปะปนอยู่ในอากาศ เมื่อหายใจเอาแก๊ส CO เข้าไป จะรวมกับฮีโมโกลบินในเลือดเกิดเป็นคาร์บอกซีฮีโมโกลบิน ทำให้เม็ดเลือดแดงไม่สามารถรับออกซิเจนได้ตามปกติ จะเกิดอาการเวียนศีรษะ หายใจอึดอัด คลื่นไส้อาเจียน ถ้าร่างกายได้รับเข้าไปมากทันทีอาจทำให้เสียชีวิตได้
    การเผาไหม้ของเชื้อเพลิงในเครื่องยนต์ต่างๆ มีไฮโดรคาร์บอนที่เผาไหม้ไม่หมดออกมาด้วย โดยเฉพาะไฮโดรคาร์บอนที่มีโมเลกุลมีพันธะคู่จะรวมตัวกับออกซิเจนหรือแก๊สโอโซน เกิดเป็นสารประกอบแอลดีไฮด์ซึ่งมีกลิ่นเหม็นทำให้เกิดอาการระคายเคืองเมื่อสูดดม นอกจากนี้ไฮโดรคาร์บอนยังอาจเกิดปฏิกิริยากับออกซิเจนและไนโตรเจนไดออกไซด์ เกิดสารประกอบเปอร์ออกซีแอซีติลไนเตรต (PAN) ซึ่งเป็นพิษทำให้เกิดการระคายเคืองต่อดวงตาและระบบทางเดินหายใจ นอกจากนี้ยังมีผลต่อพืชโดยทำลายเนื้อเยื่อที่ใบอีกด้วย

                                                                  
มลภาวะทางน้ำ              
สาเหตุสำคัญประการหนึ่งที่ก่อให้เกิดมลพิษทางน้ำคือ การใช้ปิโตรเคมีภัณฑ์ เช่น ปุ๋ยเคมี สารปราบศัตรูพืชและ
ผงซักฟอก แม้ว่าปุ๋ยเคมีและผงซักฟอกจะไม่เป็นพิษโดยตรงต่อมนุษย์แต่ก็เป็นอาหารที่ดีของพืชน้ำบางชนิด จากการศึกษาวิจัยน้ำจากแหล่งชุมชนพบว่ามีปริมาณฟอสเฟตสูงมาก ทั้งนี้เป็นเพราะน้ำทิ้งจากอาคารบ้านเรือนมีฟอสเฟตในผงซักฟอกปนอยู่ด้วย สารดังกล่าวจะกระตุ้นการเจริญงอกงามของพืชน้ำได้ดีและรวดเร็ว เมื่อพืชน้ำตาย จุลินทรีย์ในน้ำจะต้องใช้ออกซิเจนจำนวนมากในการย่อยสลายซากพืชเหล่านั้นเป็นเหตุให้ปริมาณออกซิเจนในน้ำลดลง จึงทำให้เกิดน้ำเน่าเสีย สารเคมีและวัตถุดิบมีพิษที่ใช้ในการเกษตรเพื่อเพิ่มผลผลิตในการเพาะปลูก สารกำจัดแมลงและกำจัดวัชพืช เช่น สารประกอบไนไตรต์และไนเตรต สารประกอบคลอริเนเตดไฮโดรคาร์บอน ออร์แกโนฟอสเฟต คาร์บาเมต เมื่อตกค้างอยู่ในอากาศหรือดินก็จะถูกน้ำชะล้างลงสู่แหล่งน้ำ ทำให้แหล่งน้ำในบริเวณเกษตรกรรม หรือสายน้ำที่ไหลผ่านมีสารพิษสะสมหรือปะปนอยู่ การจับสัตว์น้ำจากแหล่งน้ำในบริเวณนั้นมาบริโภคก็จะมีโอกาสได้รับพิษจากสารดังกล่าวด้วย
                น้ำมันเป็นสารอีกชนิดหนึ่งที่ก่อให้เกิดมลพิษทางน้ำเมื่อน้ำมันรั่วไหลลงสู่ทะเลหรือแม่น้ำลำคลองจะเกิดคราบน้ำมันลอยอยู่ที่ผิวน้ำ คราบน้ำมันจะเป็นแผ่นฟิล์มปกคลุมผิวน้ำทำให้ออกซิเจนในอากาศไม่สามารถละลายลงไปในน้ำได้ ทำให้น้ำขาดออกซิเจน สัตว์น้ำที่อยู่ในแหล่งน้ำบริเวณนั้นๆ อาจตายได้ ตามปกติน้ำในธรรมชาติจะมีออกซิเจนละลายอยู่ประมาณ 5 - 7 ส่วนในล้านส่วน ปริมาณออกซิเจนในน้ำหรือ  DO  (Dissolved Oxygen)  จึงมีความสำคัญและจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับการดำรงชีวิตของพืชและสัตว์น้ำการบ่งชี้คุณภาพน้ำอาจทำได้ เช่น
ก. หาปริมาณออกซิเจนที่จุลินทรีย์ต้องใช้ไปในการย่อยสลายสารอินทรีย์ในน้ำ เรียกว่า ค่า  BOD
(Biochemical Oxygen Demand) ซึ่งจะบอกถึงปริมาณจุลินทรีย์ที่ต้องใช้ออกซิเจนในน้ำ
ก.       หาปริมาณความต้องการออกซิเจนของสารเคมีที่อยู่ในน้ำ เรียกว่า ค่า   CDO    (Chemical Oxygen
Demand) ซึ่งจะบอกถึงปริมาณของสารเคมีที่สามารถทำปฏิกิริยากับออกซิเจนในน้ำ

  มลภาวะทางดิน
ดินเป็นปัจจัยที่สำคัญประการหนึ่งของสิ่งมีชีวิต จึงจำเป็นต้องรักษาดินให้ใช้ประโยชน์ได้นานที่สุด การกำจัดสารพิษ
ด้วยวิธีการฝังดินรวมทั้งการกำจัดขยะมูลฝอยและสิ่งปฏิกูลต่างๆ โดยการทิ้งบนดิน จะเป็นสาเหตุทำให้ดินมีสภาพไม่เหมาะสมสำหรับการเพาะปลูก และก่อให้เกิดภาวะมลพิษทางดิน ปุ๋ยเคมีและสารเคมีที่ใช้ปราบศัตรูพืชก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดภาวะมลพิษทางดินได้ เครื่องมือเครื่องใช้ในชีวิตประจำวัน เช่น ยางรถยนต์ พลาสติก บรรจุภัณฑ์ ผลิตภัณฑ์เหล่านี้สลายตัวยาก มีความทนทานต่อน้ำแสงแดด และอากาศ จึงตกค้างอยู่ในสิ่งแวดล้อมทั้งในดินและน้ำ นักวิทยาศาสตร์จึงคิดค้นวิธีกำจัดพลาสติกที่ใช้แล้ว รวมทั้งค้นคว้าเพื่อสังเคราะห์พลาสติกชนิดใหม่ๆ ที่สามารถใช้งานได้ในช่วงระยะเวลาหนึ่ง หลังจากนั้นจะเสื่อมสลายไป หรือสังเคราะห์พลาสติกที่จุลินทรีย์สามารถย่อยสลายได้ ในปัจจุบันมีวิธีกำจัดพลาสติกที่ใช้แล้วหลายวิธีดังนี้
. ใช้ปฏิกิริยาชีวเคมี   เนื่องจากพลาสติกส่วนใหญ่มีความทนทานต่อการย่อยสลายของเอนไซม์จากจุลินทรีย์นักวิทยาศาสตร์จึงได้คิดค้นพลาสติกที่มีโครงสร้างทางเคมีที่สามารถถูกทำลายได้ด้วยเอนไซม์ของจุลินทรีย์พวกแบคทีเรียและเชื้อรา ตัวอย่างเช่น เซลลูโลสซานเทค และเซลลูโลสแอซีเตต หรือการผสมแป้งข้าวโพดในพอลิเอทิลีนแล้วนำมาผลิตวัสดุบรรจุภัณฑ์
ข. ใช้สมบัติการละลายในน้ำ  พลาสติกบางชนิด เช่น พอลิไวนิลแอลกอฮอล์สามารถละลายในน้ำได้เมื่ออยู่ในสิ่งแวดล้อมที่มีความชื้นสูง หรืออยู่ในน้ำซึ่งเป็นตัวทำละลายในธรรมชาติ เมื่ออุณหภูมิสูงขึ้นพลาสติกจะละลายได้เพิ่มขึ้น
ค. ใช้แสงแดด  นักเคมีชาวแคนาดาพบว่าการเติมหมู่ฟังก์ชันที่ไวต่อแสงอัลตราไวโอเลตเข้าไปในโซ่พอลิเมอร์ เมื่อพลาสติกถูกแสงแดดจะเกิดสารที่ทำปฏิกิริยากับออกซิเจนในอากาศทำให้พลาสติกเสื่อมคุณสมบัติ เปราะแตก และหักง่าย
ง. ใช้ความร้อน  พลาสติกพวกที่เป็นสารประกอบไฮโดรคาร์บอน เมื่อได้รับความร้อนถึงระดับหนึ่งจะสลายตัวเป็นโมเลกุลขนาดเล็ก ในที่สุดจะได้คาร์บอนไดออกไซด์กับน้ำหรือสารอื่นซึ่งเป็นพิษปนออกมาด้วย ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับชนิดของพลาสติก เช่น พอลิเอทิลีนติดไฟง่าย พอลิสไตรีนเผาไหม้ให้ควันดำและเขม่ามาก ส่วนพอลิไวนิลคลอไรด์ติดไฟยากต้องให้ความร้อนตลอดเวลาและมีแก๊สไฮโดรเจนคลอไรด์ซึ่งเป็นแก๊สพิษเกิดขึ้นด้วย การเผาเป็นวิธีกำจัดพลาสติกที่รวดเร็ว แต่มีข้อเสียคืออาจเกิดสารพิษที่ก่อให้เกิดภาวะมลพิษทางอากาศได้
จ. นำกลับมาใช้ใหม่  พลาสติกประเภทเทอร์มอพลาสติกสามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้ โดยล้างทำความสะอาดแล้วนำเข้าเครื่องตัดเป็นชิ้นเล็กก่อนเข้าเครื่องอัดเม็ดเม็ดพลาสติกที่ได้จะสามารถนำไปหลอมเป็นชิ้นงานได้อีก เช่น นำไปใช้ทำโฟมกันกระแทกในการบรรจุผลิตภัณฑ์ ผสมในซีเมนต์เพื่อให้รับแรงกระแทก ใช้ถมที่ดินชายฝั่งทะเลแล้วอัดให้แน่นเพื่อสร้างที่อยู่อาศัย หรืออาจนำมาอัดให้แน่นใช้ทำเป็นอิฐหรือวัสดุก่อสร้างซึ่งเป็นวิธีที่เหมาะสมในแง่เศรษฐกิจและเป็นการสงวนทรัพยากร
นักเรียนได้ทราบปัญหาความเสื่อมโทรมของสิ่งแวดล้อม การเกิดภาวะมลพิษทั้งทางอากาศ น้ำ และดินอันเป็นผลจากการใช้และพัฒนาผลิตภัณฑ์จากเชื้อเพลิง ซากดึกดำบรรพ์ซึ่งเป็นทรัพยากรธรรมชาติอันมีค่า เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นกับทุกประเทศในโลกโดยเฉพาะกับประเทศอุตสาหกรรม จากผลของการพัฒนาทางด้านสังคม เศรษฐกิจ และอุตสาหกรรมเพื่อสนองความต้องการของประชากรที่เพิ่มขึ้น การป้องกันเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาดังกล่าวต้องอาศัยความร่วมมือกันตั้งแต่ระดับท้องถิ่น ประเทศและระดับโลก เนื่องจากปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นนั้นเป็นผลมาจากการกระทำของมนุษย์เป็นส่วนใหญ่ จึงเป็นหน้าที่และความรับผิดชอบของทุกๆ คนที่จะต้องช่วยกันดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมให้อยู่ในสภาพที่ดี รวมทั้งการใช้เชื้อเพลิงและผลิตภัณฑ์เหล่านี้อย่างประหยัดและรู้คุณค่า รวมทั้งแสวงหาแหล่งพลังงานทดแทน เพื่อการดำรงชีวิตที่มีความสุขและปลอดภัยร่วมกันตลอดไป

ที่มา http://www.vcharkarn.com/lesson/view.php?id=1466

วันอังคารที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2555

มนุษย์ต่างดาว วันสิ้นเผ่าพันธุ์ และโลกใหม่ ผ่านสายตา"อาจอง ชุมสายฯ"

ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา เป็นนักวิทยาศาสตร์ ผู้คิดค้นระบบการลงจอดยานอวกาศบนดาวอังคาร ร่วมกับองค์การนาซา เพื่อทำการสำรวจโลกใหม่ของมนุษยชาติ เคยเป็นนักการเมืองสังกัดพรรคพลังธรรมของพลตรีจำลอง ศรีเมือง 


และยังเป็นนักปฏิบัติธรรมสมาธิภาวนา มาอย่างยาวนาน ได้รับเชิญไปบรรยายเรื่องการอบรมพัฒนาจิต

นอกจากนี้ ยังเป็นนักการศึกษา เป็นผู้บริหารโรงเรียนสัตยาไส ที่อ.ชัยบาดาล จ.ลพบุรี 

เมื่อไม่นานมานี้ ดร.อาจอง ให้สัมภาษณ์ ธิติ ปลีทอง บัณฑิตย์โพสต์ ฉบับเดือนมิถุนายน 2555

Q: มนุษย์ต่างดาวมีจริงหรือไม่ หากมีทำไมมนุษย์ถึงไม่เคยเห็น

A: โลกของเราเป็นแค่ดาวเคราะห์ดวงหนึ่งเท่านั้นในกาแล็กซี่ ซึ่งมีอยู่ทั้งหมดอีก 2 ล้านกาแล็กซี่ ทั้งยังมีดาวเคราะห์อื่นๆ อีกมากมายที่มีน้ำเหมือนกับโลก และหาที่ใดมีน้ำ ในทางวิทยาศาสตร์พบว่า ที่นั่นย่อมมีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ ผมจึงเชื่อว่ามนุษย์ต่างดาวมีอยู่จริง หากสังเกตจากเกิดเหตุการณ์ประหลาดที่เกิดขึ้นกับโลกและหลักฐานทางภาพถ่ายติดยานรูปทรงแปลกๆแล้ว น่าจะเป็นคำตอบได้ดีสำหรับคำถามนี้ ส่วนเรื่องคนที่ไม่เห็นมนุษย์ต่างดาว คาดว่าเป็นเพราะเรื่องนี้คือเรื่องใหญ่ที่อาจทำให้ทุกคนตื่นกลัว ทางหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจึงต้องเก็บเป็นความลับจากประชาชน



Q: ความเห็นเกี่ยวกับคำทำนายวันสิ้นโลก

A: โลกใบนี้จะอยู่กับเราไปอีกนานถึง 4500 ล้านปี เพราะตอนนี้อายุของโลกที่เฉลี่ยทางวิทยาศาสตร์ยังเดินไปเพียงครึ่งหนึ่งเท่านั้น ส่วนคำทำนายของชนเผ่ามายาผมมองว่า มันเหมือนการเริ่มต้นของยุคใหม่มากกว่า แต่ที่คนกลัวกันเพราะอาจจะคิดต่างไปเองว่า การไม่มีบันทึกต่อไปคือวันสิ้นสุดของโลก และในกรณีของคัมภีร์ไบเบิลก็เช่นเดียวกัน อักษรไคว่หรือรหัสลับที่มีคนทำนาย อาจเป็นเพราะคนเราคิดต่างและหาข้อเปรียบเทียบกันไปเอง ซึ่งบางอย่างมันตรงกับความจริงพอดี



Q: หากในวันหนึ่งข้างหน้า เกิดมหาอุทกภัยขึ้นจริงบนโลกมนุษย์จะไปอยู่ที่ใด

A: จริงๆแล้ว ไม่ถึงกับต้องรอให้น้ำท่วม มนุษย์ก็ต้องหาที่อยู่ใหม่ ผมจำได้ว่าสมัยยังเด็ก จำนวนประชากรบนโลกมีเพียง 2 พันล้านคน แต่สมัยนี้มีถึง 7 พันล้านคน เพราะจำนวนคนเกิดมีมากกว่าคนตาย ทำให้มนุษย์กำลังจะล้นโลก ทางองค์การนาซ่าจึงค้นหาดาวดวงใหม่ให้มนุษย์ชาติ และพบว่าดาวที่ใกล้เคียงโลกมากที่สุดคือดาวอังคาร เพราะที่นั่นไม่เพียงแต่จะมีสภาพอากาศคล้ายกับโลกเท่านั้น แต่ยังมีน้ำ ซึ่งเป็นการบ่งบอกถึงสิ่งมีชีวิต แต่ที่นั่นเท่าที่นักวิทยาศาสตร์ทำการสำรวจยังไม่พบสิ่งมีชีวิต อะไรเลยและตอนนี้ทางองค์การนาซ่ากำลังเร่งทำการสำรวจ พร้อมกับสร้างบรรยากาศจำลองบนดาวอังคารไว้เป็นที่อยู่อาศัยแห่งใหม่ให้กับมนุษย์ต่อไป



Q: ข้อคิดจาก ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา


A: วันสิ้นโลกในอนาคตอันใกล้นี้ อาจยังไม่เกิดขึ้นก็จริง แต่วันสิ้นเผ่าพันธุ์มนุษย์สามารถเกิดขึ้นได้ทุกเวลา ด้วยการกระทำของเราทุกคนเอง และมันจะสำคัญอะไรหากในวันนี้หรือวันพรุ่งนี้โลกจะแตก เพราะในเมื่อทุกวันนี้ มนุษย์เราเองยังตอบไม่ได้เลยว่า เราเคยให้ประโยชน์หรือสร้างสรรค์สิ่งดีๆอะไรบ้าง


ที่มา มนุษย์ต่างดาว วันสิ้นเผ่าพันธุ์ และโลกใหม่ ผ่านสายตา"อาจอง ชุมสายฯ" : มติชนออนไลน์

วันที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2555 เวลา 16:45:58 น